ฟรีเปเปอร์ลงงาน
Hatsunetsu : Haikyuu!! Only Event ที่ผ่านมาค่ะ
พอดีวันงานทำไปน้อยเลยหมดไว ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ สำหรับใครที่พลาดไปไม่ต้องเสียใจค่ะ เรามาลงย้อนหลังแล้ว เย้~
ความจริงแล้วเราอยากลองเขียนสองคนนี้มานานแล้วค่ะ ชอบเวลาที่เท็นโดกับวากะโทชิคุงอยู่ด้วยกันมากๆ
คนนึงดีดความสดชื่น
อีกคนก็ซื่อซะไม่มี ดูๆ ไปแล้วไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้ แต่พออยู่ด้วยกันแล้วกลับน่ารักเหลือเกิน
ฮืออออ ยอมลงเรือพายค่ะ//บึ๊ดจ้ำบึ๊ด (มาพายด้วยกันมั้ยคะ ฮาาา)
นอกจากนั้น ธีมเรื่องนี้ยังมีแฝงกลิ่นอายสงสัยให้คิดนิดๆ
ด้วย เพราะเราตั้งใจให้ไปแนวเดียวกับ The Distance to Solve ค่ะ
หวังว่าทุกท่านจะชอบกันนะคะ หากว่าฟิคเรื่องนี้สร้างรอยยิ้มและทำให้ชอบเท็นโดกับวากะโทชิคุงขึ้นมาล่ะก็
จะดีใจมากๆ เลยค่ะ
ปล.ประกาศแจ้งนิดนึงว่าบล็อกนี้จะไม่ได้ลงแค่งานแปลอย่างเดียวแล้วนะคะ เราตัดสินใจเปลี่ยนมาลงฟิคที่นี่ด้วยค่ะ
เนื่องจาก exteen เน่าไปแล้ว Orz ลองย้ายไป wordpress แล้วแต่ก็ไม่ถนัดเลย ฮือออ
ชินกับบล็อกเกอร์ซะแล้ว ไหนๆ มีบล็อกอยู่ที่นี่เลยกะจะลงทั้งสองอย่างควบคู่กันไปค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------------
マブダチと言われても…
mabudachi to iwaretemo
Tendou Satori x Ushijima Wakatoshi
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สายตาเหม่อมองภาพตัวการ์ตูนบนหน้าปกมาสักพักจนชักเกิดอาการฮึกเหิมอยากออกทะเลไปตามหาสมบัติด้วย
ปกติต้องมองเห็นเพดานสีขาวแท้ๆ
กลับเจอหน้าโจรสลัดหมวกฟางยิ้มแฉ่งให้ซะงั้น
ถ้าโดนสะกดจิตให้ขึ้นเรือขึ้นมาจะทำยังไง...เท็นโดเริ่มเซ็ง เพราะมันบดบังทัศนวิสัยอยู่จึงเลี่ยงไม่ได้
ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
มีหวังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ทำอย่างอื่นกันพอดี
ต้องหาทางจัดการกับสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด
“วากะโทชิคุง”
“หือ”
“ยังอีกเหรอ”
“อืม”
อุชิจิมะส่งเสียงตอบกลับมาจากอีกฟากของจัมป์
เดาได้เลยว่าอีกนานชัวร์
“โธ่ อย่ามัวแต่อ่านจัมป์สิ นานๆ เจอกันที สนใจฉันให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม”
เท็นโดกอดอกประท้วง
หลายเดือนกว่าอุชิจิมะจะกลับมาครั้งหนึ่ง
ช่วงวันหยุดยาวแบบนี้จึงมีค่ามากถึงมากที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับสนใจจัมป์มากกว่าเขา
มันหมายความว่าไงกัน
อุชิจิมะตอบเสียงเรียบ
“นายเป็นคนเอามาให้ฉันอ่านเองไม่ใช่เหรอ”
...ครับ ถึงกำลังนึกเสียใจทีหลังอยู่ไงล่ะ
เท็นโดนิ่วหน้า ถูกแทงใจดำจนสะอึก
รู้งี้ไม่น่าเลย
“แต่วากะโทชิคุงอ่านนานเกินไปแล้ว! บอกแล้วไงว่าให้อ่านการ์ตูนก่อน
ไม่ต้องอ่านหน้า-โฆ-ษ-ณาก็ได้”
เท็นโดย้ำทีละคำ
เคยพูดไปแล้วกี่รอบกันนะ เขาจำไม่ได้เนื่องจากไม่เคยนับ
รู้สึกว่าแทบทุกทีต้องพูดประโยคคล้ายกันเสมอ หากย้อนนึกดูคงนับไม่ถ้วน
“ถ้าไม่อ่านทุกหน้าก็ไม่มีความหมายสิ”
น้ำเสียงอุชิจิมะฟังดูขึงขังตามเคย
เล่นเอาเท็นโดกลอกตา
“จะซีเรียสเอาโล่หรือไงฮึ ไม่ใช่หนังสือเรียนซะหน่อยนะ ใครๆ
เขาก็ซื้อจัมป์มาอ่านแค่การ์ตูนกันทั้งนั้นแหละ”
เท็นโดบ่นเจือถอนใจก่อนขอร้อง
“ฉันที่เป็นคนให้ยืมพูดเองก็กระไรอยู่
แต่ตอนนี้ช่วยวางจัมป์ลงก่อนได้หรือเปล่าวากะโทชิคุง”
“รออีกแป๊บนึง ใกล้จะจบหน้านี้แล้ว”
เท็นโดได้ยินพลันฮึดฮัด ตัดพ้อหน้ามุ่ย
“ฮึ่ม มันหลายแป๊บแล้วนะ นี่เห็นจัมป์สำคัญกว่าฉันงั้นเหรอ
อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง วากะโทชิคุงกลับไม่สนใจฉันเลยสักนิ๊ดดดดเดียว
น้อยใจแล้วนะเนี่ย”
“พูดอะไรของนาย”
อุชิจิมะละสายตาจากจัมป์และมองมาในที่สุด
“ถ้าไม่สนใจแล้วฉันจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน”
นั่นสินะครับ
เจอประโยคนี้เข้า
เท็นโดถึงกับไปต่อไม่เป็น คิดว่าคุ้นเคยกับวิธีพูดตรงๆ ของอีกฝ่ายแล้วเชียว
ทำไมพอเป็นเรื่องทำนองนี้ทีไร ไม่ยักชินสักทีน้อ
ไม่ไหวเลยแฮะเรา
ความเงียบเข้าปกคลุมไม่นาน
เท็นโดโพล่งขึ้น
“ไปจำวิธีพูดแบบนี้มาจากไหนน่ะ”
ใบหน้าอุชิจิมะฉายแววงุนงง
“ไม่ได้จำมาจากใคร ฉันแค่พูดความจริง”
เพราะแบบนี้พวกซื่อๆ
ไร้เดียงสาถึงได้น่ากลัวนัก...เท็นโดพิสูจน์มาแล้ว ขอให้ทุกคนระวังตัวด้วย
“ความจริงที่ว่าทำให้คนตายได้เลยนะรู้ไหม โชคดีฉันสวมเกราะอยู่เลยไม่เป็นไร
ระวังอย่าเผลอไปพูดกับใครนอกจากฉันแล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว”
เท็นโดพูดติดตลก
อุชิจิมะกลับพยักหน้ารับจริงจังซะงั้น ไม่รู้ควรเรียกอย่างไรดี
ระหว่างว่านอนสอนง่ายกับเอาจริงเอาจังเกินเหตุ บางครั้งตลกดีเหมือนกัน
“หือ”
พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะกลับไปอ่านจัมป์ต่อ
เท็นโดรีบเบรกทันใด
“เดี๋ยวสิ นี่คิดจะอ่านต่ออีกเหรอ”
เชื่อเขาเลย
อุตส่าห์ดึงความสนใจได้แล้วเชียว อุชิจิมะลดจัมป์ในมือลง
เผยให้เห็นดวงตาเพียงอย่างเดียว
“ไม่ได้เหรอ”
ถึงจะถามแบบนั้นก็เถอะ...
“จากนี้จะเข้าหน้าการ์ตูนแล้วด้วย”
“แหม ในที่สุดก็ถึงหน้าการ์ตูนสักที”
เท็นโดปั้นหน้ายิ้มคลุมเครือ
ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจมากกว่ากัน
อันที่จริง
อุชิจิมะสมควรอ่านตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
ป่านนี้คงจบไปนานแล้วหากเป็นไปได้เท็นโดอยากให้เลิกอ่านเดี๋ยวนี้เลย
แต่อีกใจไม่อยากขัดความสุข นานๆ ทีได้มีโอกาสนั่งพักผ่อนอ่านการ์ตูนสบายๆ
ถึงกระนั้น กว่าอุชิจิมะจะอ่านหมดเล่มคงอีกพักใหญ่ ดูท่าต้องเลื่อนเวลาออกไปก่อน
เท็นโดยกมือยอมแพ้
ประจวบเหมาะกับนึกเรื่องบางอย่างได้พอดี
“โอเค ฉันจะเป็นเด็กดีรอจนกว่าวากะโทชิคุงอ่านจบก็ได้ ระหว่างนั้น
ฉันมีเรื่องสนุกๆ จะเล่าให้ฟัง ช่วยฟังไปด้วยแล้วกันนะ”
“อืม”
เท็นโดระบายยิ้ม
มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าคราวนี้ต้องทำให้อุชิจิมะหันมาสนใจเขาได้แน่
.
.
.
.
เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้
เกี่ยวข้องกับจัมป์เล่มที่วากะโทชิคุงถืออยู่
รู้ใช่ไหมว่าเอตะคุงกับไทจิเรียนมหา’ลัยเดียวกันและแชร์ห้องด้วยกันน่ะ
วันนี้ตอนกลางวันเอตะคุงโทรมาหาฉัน ทีแรกก็คุยเรื่อยเปื่อย
ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา
อย่างที่รู้ว่าส่วนใหญ่เอตะคุงมักบ่นอยู่ฝ่ายเดียวน่ะนะ
เอตะคุงเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานชวนไทจิทำความสะอาดห้อง
ขนผ้าปูที่นอน หมอนกับผ้าห่มไปซัก แต่โชคร้าย ฝนตกตอนบ่ายเลยไม่แห้ง
แถมไฟยังดับอีก ดูดฝุ่นก็ไม่ได้ ต้องหันไปทำความสะอาดอย่างอื่นแทน
กว่าไฟจะมาก็เย็นนู่นเลย เอตะคุงหงุดหงิดสุดๆ เชียวล่ะ แค่นั้นไม่พอนะ
เปิดตู้เย็นจะกินไอศกรีมซะหน่อย ดันโดนไทจิขโมยกินต่อหน้าต่อตา
ฉันนี่ขำกลิ้งจนปวดท้อง อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนั้น น่าสงสารเอตะคุงเนอะ
ฮะๆ แล้วทีนี้เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ
จู่ๆ จัมป์ของเอตะคุงก็หายไป
หายไปได้ยังไงเหรอ? อย่าเพิ่งใจร้อนสิวากะโทชิคุง ฟังให้จบก่อน
คืนนั้นตอนกำลังจะเข้านอน เอตะคุงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้อ่านจัมป์
เพราะไทจิขอยืมอ่านก่อนเลยกะว่าจะไปทวง แต่มันดึกมากแล้ว
เอตะคุงไม่อยากปลุกไทจิเพราะหมอนั่นโต้รุ่งทำรายงานมาหลายวันแล้วน่ะนะ
เลยถือวิสาสะแอบย่องเข้าไปในห้องเงียบๆ เพื่อเอาจัมป์คืน
ทว่า หาเท่าไรไม่เจอ
ค้นทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วไม่เห็น ข้างนอกห้องเองก็ไม่มี
ลองหาในห้องดูเผื่อไทจิเอามาคืนแล้วก็ไม่พบ
เอตะคุงงงมาก
เมื่อเช้ายังเห็นไทจินั่งอ่านอยู่เลย แถมวันนี้อยู่ที่ห้องกันทั้งวัน
ไม่ได้ออกไปไหนด้วย ไม่มีทางที่จัมป์จะหายไปได้หรอกจริงไหม
และเช้าวันรุ่งขึ้นหรือก็คือวันนี้
ไทจิตื่นปุ๊บ เอาจัมป์มาคืนเอตะคุงพร้อมขอโทษที่คืนช้า
เนื่องจากมีเหตุจำเป็นนิดหน่อย เอตะคุงถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก พอเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ไทจิฟัง
ถามว่าตกลงนายเอาจัมป์ไปไว้ที่ไหนกันแน่ ไทจิ กลับเฉไฉไม่ยอมตอบ
อ้างว่ามีธุระต้องรีบไป บอกให้เอตะคุงลองทายเล่นๆ ดู เดี๋ยวกลับมาเฉลยทีหลัง
เอตะคุงคิดไม่ออกสักทีเลยโทรมาปรึกษา
แน่นอนว่าอัจฉริยะอย่างฉัน
แค่ฟังรอบเดียวก็มองออกแล้ว ไทจิกลับมาคงจะเงิบน่าดู เชื่อสิ
หมอนั่นต้องสงสัยแหงว่าเอตะคุงทายถูกได้ไง ฮะๆ
หือ อยากรู้ว่าจัมป์หายไปได้ยังไงเหรอ
ของแบบนี้เฉลยง่ายๆ ก็ไม่สนุกสิ เอาน่า อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจแบบนั้น
ถือซะว่าเล่นเกมฝึกสมองแล้วกัน ถ้าวากะโทชิคุงทายถูก
ฉันยกพุดดิ้งให้หมดตู้เย็นเลยเอ้า ตกลงนะ?
.
.
.
.
เท็นโดอมยิ้ม
รอคอยคำตอบจากอุชิจิมะซึ่งเลิกสนใจจัมป์แล้วหันมาจับคางครุ่นคิดแทน
ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เล่าให้ฟัง เห็นไหม
อุชิจิมะสนใจเขาแล้ว
ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม!
ขณะกำลังลิงโลด นึกขอบคุณเซมิอยู่ในใจ
อีกฝ่ายลองสันนิษฐาน
“คาวานิชิจงใจแกล้งเซมิโดยเอาไปซ่อนไม่ให้เห็นหรือเปล่า”
เท็นโดส่ายหน้า
“โน เวย์ เป็นไปไม่ได้หรอก จำได้หรือเปล่า ที่ไทจิบอกว่า ‘มีเหตุจำเป็นนิดหน่อย’ น่ะ
แสดงว่าตอนนั้นหมอนั่นจำเป็นต้องใช้จัมป์ถูกไหม แล้วจะเอาไปซ่อนเพื่ออะไรล่ะ”
“นั่นสินะ”
อุชิจิมะเห็นด้วยแล้วทิ้งช่วงไปเหมือนขบคิด
เท็นโดเฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยความสนุกสนาน ไม่คิดจะเร่งเร้าแต่อย่างใด
“บอกตามตรง
นอกจากอ่านแล้วฉันคิดไม่ออกเลยว่าคาวานิชิมีเหตุผลจำเป็นอะไรต้องใช้เจ้านี่...”
อุชิจิมะเปรยพลางเหลือบมองจัมป์ข้างตัว
“เท่าที่นึกออก มีแค่เอาไปใช้ศึกษาเพื่อฝึกวาดรูปเท่านั้นเอง”
“น้อยจัง อย่างเดียวเองเหรอ” เท็นโดแอบขำและแนะนำ “ถ้าเราลองประยุกต์ดีๆ สามารถนำจัมป์ไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเลยนะ ง่ายๆ
เช่น ใช้เป็นแท่นเหยียบเวลาหยิบของที่อยู่สูงๆ ไง”
อุชิจิมะได้ยินแล้วทำหน้าผิดคาดนิดๆ
“แบบนั้นก็ได้สินะ”
“อื้อ ขนาดของมันค่อนข้างหนาใช่ไหมล่ะ
ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเอาไปใช้งานแบบไหน”
เท็นโดเองยังเคยใช้จัมป์เป็นฐานรองหน้าจอคอมพิวเตอร์มาแล้ว
เนื่องจากโต๊ะมันเตี้ย มองจอลำบาก จึงต้องเอาจัมป์เล่มเก่าๆ มาช่วยเสริมให้สูงขึ้น
เท็นโดกล่าวต่อเป็นเชิงใบ้
“กรณีนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ไทจิเอาจัมป์ไปใช้ทำอะไร
เอตะคุงถึงหาไม่เจอ” เขาเว้นช่วงให้อีกฝ่ายวิเคราะห์ตาม “พอเดาได้หรือเปล่า”
หลังจากนิ่งคิดครู่หนึ่ง อุชิจิมะค่อยๆ
ส่ายศีรษะ
“ไม่เลย”
เป็นไปตามคาด
เท็นโดผุดยิ้มแล้วถามเสียงเริงร่า
“งั้นฉันใบ้ให้เอาไหม”
“ตกลง”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
สังเกตจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ท่าทางคงจะมืดแปดด้านจริงๆ
เท็นโดกลั้นหัวเราะก่อนชูนิ้วชี้
“คำใบ้ที่หนึ่ง จัมป์ไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ในห้องของไทจิ”
“ฉันรู้แล้ว”
อุชิจิมะเอ่ยทันควัน
“น่าๆ ถือซะว่าเป็นการทบทวนแล้วกันเนอะ” จากนั้นเท็นโดชูนิ้วเพิ่มกลายเป็นสองนิ้ว
“คำใบ้ที่สอง วันนั้นฝนตก”
“...”
คราวนี้อุชิจิมะจับจ้องมาเงียบๆ
คล้ายตำหนิว่าบอกทำไม
“ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทนะเออ
ฉันพูดเพื่อให้วากะโทชิคุงลองคิดให้ละเอียดอีกครั้งต่างหาก” เท็นโดรีบออกตัว
“งั้นหรือ หวังว่าคำใบ้ต่อไปจะมีประโยชน์มากกว่านี้นะ”
“อื้อ เข้าใจแล้วจ้ะ ไม่ต้องทำเสียงดุขนาดนั้นก็ได้”
ถูกสายตาคมกริบกดดันจากอุชิจิมะ
เท็นโดจึงต้องทิ้งคำใบ้เก่าซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้วคิดหาคำใบ้ใหม่ที่จริงจังขึ้นอีกหน่อย
“คำใบ้ต่อไปเป็นข้อสุดท้ายแล้วนะ ขืนใบ้มากกว่านี้เดี๋ยวเฉลยหมดพอดี”
อุชิจิมะพยักหน้ารับรู้โดยไม่พูดอะไร
“เอาล่ะนะ”
เท็นโดแกล้งเงียบชั่วครู่เพื่อสร้างบรรยากาศตื่นเต้น
“สมมติว่าวากะโทชิคุงต้องนอนบนเตียงเปล่าๆ ที่ไม่มีอะไรเลย จะทำยังไงเหรอ”
สิ้นเสียง
อุชิจิมะทำหน้าไม่เข้าใจเหมือนสงสัยว่าเหตุใดจึงถามเช่นนั้น
“ถามทำไม”
“เพราะมันเป็นกุญแจนำไปสู่ความจริงยังไงล่ะ”
หนึ่งในหลายประโยคที่เท็นโดอยากพูดมานาน
เมื่อมีโอกาสเลยเก๊กขรึมให้ดูเท่เต็มที่
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
ท่าทีของอุชิจิมะยังไม่หายเคลือบแคลง
“หากต้องนอนบนเตียงเปล่าๆ ฉันคงใช้กระเป๋าหนุนแทนหมอน
หรือไม่อาจม้วนเสื้อเป็นหมอนแทน ส่วนผ้าห่ม ถ้าใส่เสื้อวอร์มนอนคงไม่เป็นไร”
“อื้มๆ ส่วนใหญ่มักจะทำแบบนั้นกันเนอะ ฉันเองก็คงทำเหมือนกัน”
เท็นโดเออออตามแล้วถามต่อ
“งั้น...ถ้าง่วงสุดๆ จนขี้เกียจม้วนเสื้อหรือหากระเป๋ามาหนุนล่ะ”
อุชิจิมะคิดเล็กน้อยก่อนตอบแบบไม่มั่นใจ
“คงใช้หนังสือแทนล่ะมั้ง”
พูดจบ
อุชิจิมะเบิกตากว้างราวกับสะกิดใจบางอย่างได้ พอเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
เท็นโดพลันหยักยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน
“หืม หรือว่า...จะไขปริศนาได้แล้วกันน้า”
เกสมอนสเตอร์เดาเสียงเริงรื่นทั้งที่รู้แก่ใจดี
อุชิจิมะพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
.
.
.
.
ความจริงแล้วปริศนานี้ง่ายดายมาก
ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
อย่างที่บอกว่าแค่ฟังรอบเดียว
เท็นโดก็คลี่คลายได้เพราะมันมีคีย์เวิร์ดบอกชัดเจนโจ่งแจ้ง
“ถูกต้อง อย่างที่วากะโทชิคุงเข้าใจนั่นแหละ
ฝนตกตอนบ่ายทำให้หมอนกับผ้าห่มที่ซักไม่แห้ง
คืนนั้นไทจิเลยใช้จัมป์หนุนหัวต่างหมอน พอตอนเช้าก็คืนให้เอตะคุง
บางทีหมอนั่นคงเอาผ้าหรืออะไรสักอย่างมารองอีกชั้นเพื่อไม่ให้เจ็บหัว
เพราะงั้นเอตะคุงถึงมองไม่เห็น”
เท็นโดเฉลยพร้อมกับเพิ่มเติมจุดที่อุชิจิมะตกหล่นไป
ระหว่างคุยกับเซมิ
โชคดีเขากำลังอ่านจัมป์อยู่จึงได้ทดลองเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน ถึงสัมผัสจะแข็งไปนิด
แต่ถ้าหาอะไรมารองสักหน่อยก็นอนได้สบายๆ
หากตอนนั้นเซมิสังเกตคาวานิชิที่นอนหลับบนเตียงดีๆ ย่อมรู้แน่ อย่างไรเสีย
หนังสือไม่สามารถพับหรือม้วนเป็นก้อนกลมๆ เหมือนผ้าได้อยู่แล้ว
ต้องเห็นมุมเห็นเหลี่ยมกันบ้างล่ะ
“ไม่ได้เห็นกับตา เพียงแค่ฟังจากคำบอกเล่าของเซมิ ทำไมนายถึงรู้ได้”
อุชิจิมะไถ่ถาม เท็นโดตอบหน้าระรื่น
“ไม่เห็นยาก สังหรณ์ไงล่ะ”
คาดเดาจากความรู้สึกและทิศทางความเป็นไปได้ที่ตัวเองคิดว่าใช่
นี่ล่ะคือเท็นโด ซาโตริ
อุชิจิมะเอ่ยปากชม
“สมเป็นนายดีนะ”
“แน่นอน เพราะฉันคือเกสมอสเตอร์นี่นา ฮึบ! นี่แน่ะ!”
เท็นโดชูมือขึ้นบล็อกและทำเสียงประกอบ
มันคงตลกน่าดู อุชิจิมะเลยหลุดหัวเราะน้อยๆ
“นั่นมันฉายาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว”
“เพิ่งผ่านมาไม่นานเอง อย่าพูดเหมือนผ่านไปแล้วสิบยี่สิบปีอย่างนั้นสิ
อีกอย่าง ของแบบนี้น่ะอายุการใช้งานตลอดชีพนะรู้ไหม ไม่มีวันหมดอายุหรอก”
นอกจากนี้
เขายังถูกใจฉายาดังกล่าวเป็นพิเศษอีกด้วย
“ตกลงว่าครั้งนี้ฉันชนะสินะ”
“เยส! ขอแสดงความยินดีด้วย เชิญรับพุดดิ้งที่อยู่ในตู้เย็นไปได้เลยจ้า”
เดิมทีเขาตั้งใจซื้อมาตุนไว้ให้อุชิจิมะอยู่แล้ว
เท็นโดผายมือไปทางห้องครัวก่อนหันกลับมาเพราะนึกได้
“จริงสิ วันก่อนมีคนมาถามฉันว่าเป็นเพื่อนของอุชิวากะหรือเปล่าด้วยล่ะ
ฉันเลยอวดไปว่าใช่แล้ว! ฉันนี่แหละ เพื่อนสนิทของวากะโทชิคุง!
หมอนั่นทำหน้าตกใจใหญ่เลยนะ หาว่าฉันโม้อีกต่างหาก” เท็นโดเล่าขำๆ
อุชิจิมะออกความเห็นด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ราบเรียบเหมือนเคย
“ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ปกติเพื่อนกันเขาไม่ทำอย่างนี้หรอก”
คำพูดนั้นทำให้เท็นโดถึงกับกลั้นยิ้มไม่ไหว
ทำอย่างนี้...งั้นเหรอ จะว่าไป
สภาพของเขาซึ่งกำลังนอนหนุนตักอุชิจิมะอยู่ในขณะนี้ก็ไม่เหมาะสมกับคำว่าเพื่อนจริงๆ
ล่ะนะ
“หุๆ นั่นสิเนอะ”
อุชิจิมะส่งสายตาสงสัย
“มีอะไรน่าขำงั้นหรือ”
“เปล่านี่”
“แล้วหัวเราะทำไม”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว เพ่งมองมาอย่างคาดคั้น
เท็นโดยังคงยืนยันคำเดิม
“ฮะๆๆ ไม่มีอะไรจริงๆ ฮะๆ ฮะ...โอ๊ย มันเจ็บนะวากะโทชิคุง!
จะลุกก็บอกกันก่อนสิ นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า วากะโทชิคุง”
ดูท่าจะงานเข้าเสียแล้ว...สังหรณ์ของเท็นโดร้องบอกเช่นนั้น
-----------------------------------------------------------------------------------------